วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552
1 เมษายน วันโกหก
แต่สำหรับชาวฝรั่ง วันที่ 1 เมษายน กลับเป็นวันที่พวกเขาเรียกกันว่า "April Fool's Day" วันแห่งการโกหก ซึ่งถือเป็นวันที่จะแกล้งกันสนุกสนานด้วยการโกหก... แท้จริงมีตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อสมัยก่อนนี้ พวกฝรั่งเขาก็มีวันขึ้นปีใหม่ใกล้ๆ บ้านเรานี่แหละคือเดือนเมษายน แต่แล้วทางการมีการเปลี่ยนวันปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม บังเอิญยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ ก็ยังคงส่ง ส.ค.ส. ให้กันในวันที่ 1 เมษายน พวกเขาก็เลยเรียกพวกนี้ว่าพวก "เมษาหน้าโง่" แล้วก็มีการแกล้งกันโดยไม่บอกความจริงเพื่อความสนุกสนาน จริงๆ มันก็แค่เนี่ยแหละ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเทศกาลอะไรของใครชาติไหน คนไทยเราเล่นด้วยหมด
วิธีการเล่นคือ...
วันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวัน April's Fool Day เป็นวันที่คนแกล้งหลอกกันด้วยการแต่งเรื่องอะไรก็ได้มาหลอกให้คนอื่นหลงเชื่อ จากนั้นค่อยเฉลยในตอนท้าย ซึ่งเรื่องที่เอามาหลอกนั้นจะต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับเลือดตกยางออก และคนที่ถูกหลอกจะต้องไม่โกรธด้วย เพราะถือว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ ยกเว้นให้หนึ่งวัน
วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552
Printemps
Le printemps (du latin primus, premier, et tempus, temps, cette saison commençant autrefois l'année) est l'une des quatre saisons des zones tempérées, précédant l'été et suivant l'hiver. Elle se caractérise par un radoucissement du temps, la fonte des neiges, le bourgeonnement et la floraison des plantes, le réveil des animaux hibernants et le retour de certains animaux migrateurs.
Astronomiquement, elle commence avec l'équinoxe de printemps (19, 20 ou 21 mars dans l'hémisphère nord, 22 ou 23 septembre dans le sud) et finit au solstice d'été (20, 21 ou 22 juin dans l'hémisphère nord, 21 ou 22 décembre dans le sud) En météorologie, elle commence conventionnellement le 1er mars dans l'hémisphère nord.
Le printemps et la nature
Le printemps est la saison des giboulées, une alternance de pluies et de journées ensoleillées, et de la fonte des neiges. Cette fonte survient plus rapidement en plaine qu'en montagne. Aussi il est fréquent que les habitations et les champs situés près des cours d'eau soient inondés durant la nouvelle saison en raison du sol gorgé d'eau. Aux États-Unis, en Nouvelle-Angleterre, le printemps est appelé «saison de la boue».
Selon la durée et la rigueur des hivers dans les différents pays tempérés, on assiste au printemps (de mi-mars à fin avril et même en mai dans les pays à hiver rigoureux comme au Canada) à un réveil de la nature. Les arbres, dépouillés de leurs feuilles au cours de l'automne, revivent sous l'effet des températures clémentes, des pluies fréquentes et du soleil un peu plus présent que durant la mauvaise saison. La sève descendue dans le tronc des arbres remonte, les bourgeons, restés fermés durant tout l'hiver, s'ouvrent et de nouvelles feuilles d'un vert tendre font leur apparition, grandissent et s'élargissent jusqu'à atteindre leur taille normale selon l'espèce. Elles garderont cette taille mais seront d'un vert plus foncé durant l'été.
Certains arbres fruitiers (pommiers, cerisiers...) signalent leur activité en premier lieu par l'apparition de fleurs (blanches, roses, mauves...) puis ces fleurs tombent ou sont emportées par le vent pour laisser place à de jeunes feuilles.
Les prairies et les champs sont souvent recouverts de fleurs et d'une herbe jeune et neuve, un plaisir pour le bétail libéré de son régime au foin durant l'hiver.
วันนี้ทั่วประเทศ แจกเช็คช่วยชาติลอตแรก 5.5 ล้านฉบับ
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552
Glace
À la pression atmosphérique normale (101 325 Pa), l'eau est sous forme de glace lorsque sa température est inférieure à sa température de fusion qui est, par convention, de 0 °C (soit 273,15 K).
Cependant, en l'absence de cristal de glace, de l'eau calme peut être refroidie à des températures inférieures à 0 °C sans se congeler, dans un état d'équilibre instable appelé surfusion, et atteindre ainsi des températures allant jusqu'à -20 °C.
La température de fusion de la glace servit de point fixe pour la définition originelle de l'échelle de températures Celsius.
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552
วิธีทำให้ความจำดีขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552
เรียนอย่างไรให้เข้าใจ
อ่านหนังสือก่อนเข้าเรียน
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552
“Can และ May ใช้แตกต่างกันอย่างไร?”
ทีจริงแล้วเป็นคำที่แม่ชาวอเมริกันมักจะต้อง correct ลูกๆในพูดให้ถูกหลักเสมอยกตัวอย่างคำพูดที่เด็กเล็กมักจะขอแม่เช่น
“Can I have some milk, please?”
ประโยคนี้จะไม่ถูกหลักไวยกรณ์เนื่องจากเป็นการขอร้องไม่ใช่ความสามารถดังนั้นแม่อาจจะตอบกลับเล่นๆ เพื่อสอนว่า
“Yes, you can - but you may not!”
ซึ่งหมายความว่าลูกสามารถที่จะกินนมได้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้กิน
Guideline
Can ใช้แสดงถึง ability (ความสามารถ) ในการทำบางอย่าง
ในขณะที่ May จะใช้เพื่อขออนุญาต หรือเพื่อแสดงถึงความน่าจะเป็นคือใช้เหมือนกับคำว่า might
ดังนั้นเรามาทดสอบตัวเราดู
1. [Can หรือ May] I borrow your crystal ball?
2. [Can หรือ May] you reach it form where you are sitting?
3. I think I [can หรือ may], but ther’s a chance I [can หรือ may] spill my coffee if I try to get it.
เฉลย
1. May - ขออนุญาตยืมลูก crystal
2. Can - แสดงความสามารถที่จะไปหยิบ
3. can, may - ตอบคำถามก่อนหน้านั้นและแสดงความสามารถ ในส่วนที่สองจะเป็นความน่าจะเป็นว่าจะทำกาแฟหก
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552
ผู้หญิงยุคใหม่กับโรคภัยใกล้ตัว
คุณกำลังเครียดอยู่หรือเปล่า
ปวดศีรษะ มึนงง สมองไม่โล่ง รู้สึกตึ๊บๆ ที่หัว
ตื่นเต้น ตกใจง่าย
หลับไม่สนิท ฝันร้าย
เบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไร
ใจสั่น
ถอนหายใจบ่อยๆ
ท้องผูกหรือท้องเสีย
ปวดต้นคอ หัวไหล่ ปวดเมื่อยตามตัว
เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียบ่อยๆ
ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ประจำเดือนมาไม่ปกติ