เปิดการสนทนาการเอ่ยปากทักทายผู้อื่นก่อนเป็นเรื่องที่ดี ที่น่ารัก เป็นวิธีที่ช่วยได้มาก หากคุณเปิดการสนทนาด้วยตนเองก่อน เช่น เอ่ยทักทาย สอบถาม แสดงความช่วยเหลือ ฯลฯ ผู้อื่นก็จะรู้ว่าคุณพร้อมที่จะให้เขาเป็นผู้ร่วมสนทนา และการสนทนากันก็จะเริ่มขึ้น
ท่านผู้อ่านคะ ในแต่ละวันๆ เรามีโอกาสได้พบปะผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย และในจำนวนที่มิใช่น้อย เราจะเจอกันหรือพบกันอย่างเฉยเมยอย่างนั้นหรือ ชีวิตพวกเราจะเป็นอย่างไร บรรยากาศในการทำงานของเราจะเป็นอย่างไร หมู่บ้านของเราจะเป็นอย่างไร หากผู้คนเมินเฉยต่อกันหมด
เริ่มต้นพูดกับผู้อื่นก่อน โดยพูดด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส นุ่มนวล มีสัมมาคารวะ พูดในกาลเทศะที่เหมาะงาม อาจเปิดด้วยการสอบถาม ตั้งคำถาม หรือชวนคุยในเรื่องใกล้ตัวขณะนั้น ที่อาจจะเกี่ยวข้องกันกับทั้งคุณและเขา เช่น ไวน์รสชาติดีนะคะ (กรณีที่อยู่ในงานเลี้ยงเดียวกัน) เพลงเพราะจังเลยนะคะ (อยู่ในงานเลี้ยงเล็กๆ) ทำงานที่นี่หรือคะ บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ (เพิ่งพบกัน) ฯลฯ
หน้าตารับแขก
คนที่มีบุคลิกซึ่งเปิดกว้าง ใครพบใครเห็นก็รู้ว่าคนนี้ไม่ตัดรอนใคร ดูได้ง่ายที่สุดจากสีหน้าแววตา
คนบางคนชอบทำหน้าเหมือนม้าหมากรุก คือหน้าคว่ำ หน้าหงิกหน้างอ คนพวกนี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเพียงแค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่า เขาไม่เปิดประตูรับใคร หรือไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดจะจา หรือสื่อสารกับคนอื่น
ท่านผู้อ่านคะ หากเราไม่เปิดประตูต้อนรับ คนอื่นจะก้าวเข้ามาหาเราได้อย่างไร
ดังนั้น โปรดยิ้มแย้มแจ่มใส มีท่าทีที่ผ่อนคลาย ทั้งสีหน้า แววตา และอากัปกิริยา สิ่งเหล่านี้ควรเป็นหนึ่งในภาษากายที่จะสื่อสารให้คนรอบข้างรู้ว่า คุณไม่ปิดกั้นการเข้ามาของเขา
แลกเปลี่ยนความคิดได้
คนทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง และชอบที่จะแสดงความคิดของตัวเองออกมา จะเป็นการดีทีเดียวที่เขาพบว่า คุณเป็นคนหนึ่งที่เปิดรับการพร่ำพูดของเขา
ท่าทีที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
มีคนพูด และมีคนฟัง…
ผลัดกันพูด และผลัดกันฟัง…
เรียนรู้จากสิ่งที่พูดและฟังจากกันและกันดังนั้น ในการสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนเรา ไม่เพียงแต่เราเปิดรับเขาผ่านสีหน้าท่าทาง และผ่านการทักทายสนทนาเท่านั้น เรายังควรจะสานต่อความสัมพันธ์นั้นให้เหนียวแน่น และยั่งยืนต่อไปด้วย โดยการให้โอกาสอีกคนหนึ่งพูด และเปิดโอกาสให้คนเคยพูดได้รับฟังความคิดเห็นของคุณด้วย
ใส่ใจและจริงใจ
หลังจากที่ความสัมพันธ์ของคนเราพัฒนา ถึงขั้นที่สามารถพูดจากันได้สนิทใจแล้ว เรายังต้องมีวิธีหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์นั้นไว้ให้ยาวนานด้วย
ความสัมพันธ์ของคนเราต้องเติบโตและยั่งยืนค่ะ
คนที่รู้จักใส่ใจต่อกัน และจริงใจต่อกัน มักมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เป็นเพื่อนรักเพื่อนตาย เป็นมิตรสหายทางการค้า เป็นเพื่อนคู่คิดในที่ทำงาน และอาจถึงกับเป็นญาติธรรมกันทางจิตวิญญาณโน่นทีเดียวจงใส่ใจทั้งสุขและทุกข์ของอีกฝ่าย ใช้การเปิดใจกว้างของเราให้ลึกซึ้งขึ้น นั่นคือ เดิมเราอาจเปิดใจกว้างด้วยการยิ้มแย้มต่อกัน ต่อมาก็เอ่ยปากทักทายกัน คำถามเริ่มมากขึ้น การพูดคุยเริ่มยาวนานขึ้น แล้วนำไปสู่การคบค้าอย่างถาวร
ระหว่างการคบค้า (ที่ตั้งใจว่าจะให้มัน) ถาวรนี้เอง การเอาใจใส่ต่อกันในเรื่องของความคิด อุปสรรค ปัญหาชีวิต ความสุข ความยินดี ฯลฯ ต้องมี ต้องเกิด และต้องปฏิบัติอย่างจริงใจ ออกมาจากใจจริง เช่น ไต่ถามทุกข์สุข แบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้ แบ่งปันความรู้ ดูแลแนะนำยามป่วยไข้ ฯลฯ
คนทุกคนต้องการความใส่ใจ หากคนเราใส่ใจต่อกันให้มากขึ้น ความซึ้งใจต่อกันก็มีมากขึ้นด้วย
ไม่หน้าไหว้หลังหลอก
คนบางคนหน้าไหว้หลังหลอก ปากอย่างใจอย่าง พูดออกไปทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึก พูดเหมือนปากมันพล่อยของมันไปเอง อย่างนี้ไม่ดีค่ะ
การไม่หน้าไหว้หลังหลอกทำได้ตั้งแต่เริ่มต้นทักทายกันโน่นแล้ว รอยยิ้มที่มอบให้กันก็ต้องไม่ประดิษฐ์ยิ้ม แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากน้ำใสใจจริง คำพูดผ่านมาจากความคิด ความรู้สึก และการกลั่นกรอง การปฏิบัติดีต่อกันก็ออกมาจากความรู้สึกแท้ๆ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำเพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทนการไม่หน้าไหว้หลังหลอก ถือเป็นการให้เกียรติกันที่ล้ำค่ามาก เพราะมิได้เป็นแค่การให้เกียรติกับคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้เกียรติแก่ตัวเองอย่างสูงยิ่งด้วย
คนที่มีเกียรติคือคนที่รู้จักให้เกียรติคนอื่นค่ะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น