Thank...you

+++ขอบคุณสำหรับการเข้ามาชมบล็กนะค่ะ+++

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

@ปาย@


+น่าพักนะเนี๊ย+

อากาศดี๊..ดีเต็มไปด้วยทุ่งเขียว





เสน่ห์เมืองสามหมอก

เพื่อนแท้!...ดูไม่ยาก


หากใครก็ตามที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจกับเพื่อนมากมายที่ยามอยู่ดีมีสุขก็ล้วนแต่มาพึ่งพาเรา หรือกอบโกยแต่ผลประโยชน์เข้าตัว แต่ในยามที่เราเผชิญปัญหากลับพึ่งพาไม่ได้ เข้าทำนองที่ว่า มีเพื่อนหมา ๆ มีหมาเป็นเพื่อนดีกว่านั้น วันนี้ขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการมองหาเพื่อนแท้สักคนที่จะเคียงข้างเราไปตราบนานเท่านาน
ประการแรก เพื่อนที่ดีไม่จำเป็นต้องตายแทนกันได้ แต่ควรมีความจริงใจ หวังดีต่อกัน ซึ่งในจุดนี้บางครั้งอาจจะมองกันยากในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาบ่มเพาะมิตรภาพ และพยายามเรียนรู้นิสัยใจคอกันเป็นเวลานานพอสมควรเพื่อนที่ดีต้องชักชวนกันทำในสิ่งดี ๆ เพื่อทำให้ชีวิตมีความเจริญขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่าชักนำให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกชนิดทุกประเภท
ยามที่เพื่อนมีปัญหาทุกข์ใจต้องคอยปลอบประโลม และต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ที่สำคัญต้องขจัดความรู้สึกอิจฉาริษยาหากเห็นเพื่อนได้ดีเพื่อนที่ดีต่องกล้าแนะนำในทางที่ถูกที่ควร ต้องกล้าขัดใจนั้นไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม เพื่อนที่ดีต้องมีความกระตืนรือร้นที่จะเข้าไปช่วย อย่าผละจากไปโดยปล่อยให้เพื่อนต่อสู้ตามลำพัง ถ้าหากเกินกำลังตัวเองก็ต้องพูดคุยกันเพื่อร่วมกันหาทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อนที่ดีไม่สมควรดูถูกซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่คนอื่น ๆ ไม่ว่าจะด้วยความแตกต่างด้านไหน หรือสถานะไหนก็ตาม เรื่องเงินถือเป็นเรื่องที่ลำบากใจที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับคำว่าเพื่อน หากถูกเอ่ยปากขอยืมเงินแล้วก็ควรจะให้ยืมถ้าไม่มากนัก ที่สำคัญเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้คืนก็ควรจะให้ตรงเวลาเพื่อสร้างเครดิตให้แก่ตนเอง แต่ถ้าหากมากเกินไปจนไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด หรือช่วยได้บางส่วนก็สมควรบอกตามตรง อย่างไรก็ดี หากเพื่อนเอ่ยปากยืมไปแล้วหลายครั้ง และให้สัญญาว่าจะใช้ แต่ก็ไม่ยอมใช้เลยสักครั้งเดียวก็สมควรเลิกคบไปเลยจะดีกว่าเนื่องจากเป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่าเจ้าเพื่อนคนนี้มันไม่มีสัจจะแม้

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

///คนเราหัวแหลมที่สุด ตอนอายุ 39///

คนเราหัวแหลม ที่สุดอายุ 39 หลังจากนั้นสติปัญญาจะเริ่มเสื่อมถอยคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ แถลงว่า ได้ศึกษาพบว่า สมองของเราจะเปรื่องปราดที่สุด เมื่ออายุขึ้น 39 ปี และหลังจากนั้น ก็จะเริ่มเสื่อมถอยลงในอัตราที่รวดเร็วกลุ่มคณะนักวิทยาศาสตร์อธิบาย สาเหตุที่สมองถดถอยลง เนื่องจากหนังที่เป็นไขมันหุ้มเซลล์ประสาท ที่เรียกว่าหน่วยประสาท เหมือนกับพลาสติกหุ้มสายไฟ เป็นเหมือนกับฉนวน สำหรับพ่นประจุสัญญาณไปทั่วร่างกายและสมองอย่างฉับไว เมื่อตอนช่วงวัยกลางคนได้อ่อนชะลอลงเมื่อเปลือกเสื่อมสลายลง เป็นเหตุให้สัญญาณที่เดินไปมาระหว่างหน่วยประสาทในสมองช้าลง ซึ่งทำให้ ปฏิกิริยาของร่างกายต่างๆ พลอยเชื่องช้าลงไปด้วยพวกเขายังได้บอกด้วยว่า คนเราเมื่อล่วงวัย 40 ปีแล้ว ร่างกายจะเป็นฝ่ายแพ้ศึก ในการคอยซ่อมแซมเปลือกนอกเหล่านั้นทีมผู้เชี่ยวชาญได้ศึกษาด้วยการทดสอบกับผู้ชายดูว่าจะสามารถเคาะนิ้วชี้ ได้เร็วสักเท่าใด ภายในระยะเวลา 10 วินาที

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

!!!!!! Leucémie !!!!!


มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia, Leukeamia) เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือด ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดชนิดผิดปกติออกมามากกว่าปกติ และจะไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติ ทำให้จำนวนเม็ดเลือดที่ปกตินั้นมีจำนวนลดน้อยลง
อาการ
เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น จะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ปริมาณเกล็ดเลือด ที่บทบาทสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือดนั้นลดจำนวนลง ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจจะเกิดรอยจ้ำเลือด (bruised) มีภาวะเลือดไหลไม่หยุดได้ (bleed excessively) และ อาจจะเป็นจุดแดง ๆ ตามผิวหนังได้ (petechiae)
นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวที่ปกติลดจำนวนลงนั้น จะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติอีกด้วย รวมทั้ง การที่จำนวนเม็ดเลือดแดงมีจำนวนที่ลดลง ก็จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการของโลหิตจาง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหายใจลำบากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการอื่น ๆ อีก เช่น อาการมีไข้ขึ้น หนาวสั่น น้ำหนักลด มีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และเมื่อเซลล์มะเร็งเกิดการแพร่กระจายไปยังตับและม้าม ก็จะทำให้ตับโต และม้ามโตได้ และถ้าหากเซลล์มะเร็งเกิดการแพร่กระจายไปยังกระดูก ก็จะส่งผลทำให้มีอาการปวดกระดูกและข้อได้เช่นกัน
ประเภท
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน และ เรื้อรัง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemia) เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมักเกิดกับเด็ก โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือน
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติในร่างกายเป็นจำนวนมาก โดยปกติแล้วมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ในหลาย ๆ ช่วงอายุ
Lymphoid และ myeloid
นอกจากนี้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวยังสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของเม็ดเลือดขาว ได้แก่
Lymphocytic leukemia คือ การที่พบเซลล์ในสาย Lymphoid ได้แก่ ลิมโฟไซท์ (Lymphocytes) และพลาสมาเซลล์ (plasma cells) ที่ผิดปกติเป็นจำนวนมากในกระแสเลือด
Myelogenous leukemia คือ การที่พบเซลล์ที่ผิดปกติในสายmyeloid ได้แก่ eosinophils, neutrophils, และ basophils เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือด
ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งประเภทของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่
Acute lymphocytic leukemia (Acute Lymphoblastic Leukemia หรือ ALL) สามารถพบได้ในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี รวมถึงในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีอีกดวย
Acute myelogenous leukemia (Acute Myeloid Leukemia (AML) หรือ acute nonlymphocytic leukemia) สามารถพบในผูใหญ่มากกว่าเด็ก
Chronic lymphocytic leukemia (CLL) พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี และสามารถพบในเด็กได้บ้าง แต่ไม่ค่อยส่งผลกระทบเท่าไหร่
Chronic myelogenous leukemia (CML) พบได้ในผู้ใหญ่ แต่ไม่ค่อยพบในเด็ก
โดยสรุปแล้ว เราสามารถพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML และ CLL ได้ในผู้ใหญ่ ในขณะที่ เราสามารถพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL ในเด็ก
สาเหตุ
สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น ส่วนมากมักเกิดจากการผิดปกติของข้อมูลทางพันธุกรรม ซึ่งนำไปสู่การแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติไป นั่นคือ จำนวนเซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนไม่ยอมหยุด ดังนั้น เราสามารถสรุปสาเหตุการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ดังนี้
สารก่อมะเร็ง
รังสี (Ionizing radiation)
ความผิดปกติของโครโมโซม (Chromosomal aberration)
ไวรัส บางชนิด
การรักษา
การรักษาในผู้ป่วยแต่ละราย และมะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน โดยหลักการการรักษาคือระยะแรกจะควบคุมโรคให้สงบ (remission) หลังจากนั้นจะป้องกันการกลับเป็นซ้ำ (relapse) ผู้ป่วยหลายรายสามารถหายขาดได้
วิธีการรักษา
เคมีบำบัด Chemotherapy สามารถให้ได้ทั้งทางฉีดและการกิน มะเร็งบางชนิดอาจต้องให้เข้าไขสันหลัง รังสีรักษา Radiotherapy สามารถให้ได้ 2 กรณีคือให้รังสีบริเวณที่มะเร็งอยู่ เช่นม้าม อันฑะ หรืออาจให้ฉายรังสีทั้งตัวเพื่อเตรียมการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลุกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation โดยการให้เคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับรังสีเพื่อทำลายเซลล์หลังจากนั้นจึงนำไขกระดูกของคนปกติฉีดเข้าไป ผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจนกระทั่งร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดได้
การสร้างภูมิคุ้มกัน Biological therapy โดยการใช้ interferon กับเซลล์มะเร็งได้บางชนิด
การรักษาอื่นๆที่จำเป็น
เนื่องจากการรักษามะเร็งเม็ดเลือดมีโรคแทรกซ้อนมากดังนั้นการรักษาอื่น ก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้ป่วยอ่อนแอเกิดการติดเชื้อง่ายดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ทีมีคนมากโดยเฉพาะช่วงที่เกิดการระบาดของโรค ถ้าได้รับการติดเชื้อที่รุนแรงจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ antibiotic
ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยหากเป็นมากอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย ถ้าซีดมากควรได้รับการเติมเลือด tranfussions ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจช่องปากก่อนการรักษา
ผลข้างเคียงของการรักษา
1. เคมีบำบัด Chenotherapy หลักการให้เคมีบำบัดคือทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วซึ่งเซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็วดังนั้นจึงถูกทำลายมากแต่ขณะเดียวกันการให้เคมีบำบัดก็ทำลายเซลล์ปกติดังนั้นอาการข้างเคียงจึงเกิดจากการที่เซลล์ปกติถูกทำลาย ผู้ป่วยจะคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง เป็นหมัน
2. รังสีรักษา Radiotherapy บริเวณที่ฉายแสงขนหรือผมจะร่วง ผิวบริเวณดังกล่าวจะแห้ง คัน ห้ามใช้ lotion ก่อนปรึกษาแพทย์
3. การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออกผิดปกติ

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

@_@คำคมโดนใจ@_@

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."
- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง
"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"
"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ
"Only two things are infinite, the universe and human stupidity, and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น
"Life remains the same until the pain of remaining the same becomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง
"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว
"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือความล้มเหลว
"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ
"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง
"Obstacles are those frightful things you see when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง
"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon, and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น
"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว
"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events; Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน
"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้งหมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา
"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด
"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว
"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้
"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ที่มี
"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัลของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา
"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"
- - George Bernard Shaw - -
คุณเห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"
"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่
"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น
"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของตัวเองเท่านั้น
"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it. You must never run away from a problem. Convince yourself that you will survive and get to the other side."
- - Margaret Ramsey * British literary agent - -
เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมันไปได้
"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."
- - Epictetus (55-135 C.E.) - -
สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ
"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น
"Learn from the mistakes of others. You can't live long enough to make them all yourself."
- - Anonymous - -
เรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง
"This year's success was last year's impossibility."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จของปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

///แก๊สน้ำตา///


แก๊สน้ำตา (อังกฤษ: lachrymatory agent, lachrymator หรือ tear gas) เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำ ทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง แก๊สน้ำตาถูกใช้เป็นอาวุธประเภทก่อกวนในการปราบจลาจลเพื่อสลายการชุมนุม การใช้งานมีทั้งการยิงจากปืนยิงแก๊สน้ำตา และใช้แบบระเบิดขว้าง
ในประเทศไทยโดย
กรมวิทยาศาสตร์ทหารบกได้วิจัยทำลูกระเบิดขว้างแก๊สน้ำตา มีระยะเวลาการเกิดควัน 50 วินาที ครอบคลุมพื้นที่ 150 ตารางเมตร
ส่วนประกอบ
สารที่ใช้เป็นแก๊สน้ำตามีโดยลักษณะเป็นฝุ่นผงหลายแบบ เช่น แก๊สซีเอส แก๊สซีเอ็น แก๊สซีอาร์ และ สเปรย์พริกไทย
การเป็นพิษ
ถ้ามีการสูดหายใจแก๊สน้ำตาเข้าไป จะทำให้มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก หลอดลมและปอด ทำให้ มีอาการไอและจาม ถ้าเป็นมากอาจถึงหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบได้ การสัมผัสดวงตาและผิวหนัง มีผลให้เกิดการไหม้และระคายเคืองทันทีตามบริเวณที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตา อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา ได้แก่
น้ำตาไหล มองเห็นไม่ชัด ตาแดง
น้ำมูกไหล จมูกบวมแดง
ปากไหม้และระคายเคือง กลืนลำบาก น้ำลายไหลย้อย
แน่นหน้าอก ไอ รู้สึกอึดอัด หายใจมีเสียงดัง หายใจถี่
ผิวหนังไหม้ เป็นผื่น
คลื่นไส้ อาเจียน
โดยปกติแล้ว หลังจากออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาและทำความสะอาดร่างกายแล้ว อาการที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 30-60 นาที เท่านั้น ถ้าสัมผัสแก๊สน้ำตาเป็นเวลานานๆ เช่น มากกว่า 1 ชั่วโมง หรือได้รับสัมผัสปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับอากาศ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

****Nymphaeaceae****


La famille des Nymphéacées (Nymphaeaceae) fait partie des plantes angiospermes. Selon Watson et Dallwitz elle comprend 75 espèces réparties en 3 genres:
genre
Euryale Salisb.
genre
Nuphar Sm.
genre
Nymphaea L.
Ce sont des plantes aquatiques, rhizomateuses, aux feuilles rondes flottantes, représentées en France par les
nénuphars jaunes (genre Nuphar). On peut citer aussi le lotus blanc égyptien (genre Nymphaea).
Suivant la
classification phylogénétique APG II (2003) cette famille provient d'une divergence ancienne et les plantes ne sont pas de vraies dicotylédones. La famille comprend le genre Barclaya anciennement placé dans les Barclayacées. On peut aussi inclure (optionellement) dans cette famille les Cabombacées. En incluant les Cabombacées la famille Nymphaeaceae comprend 8 genres, en les excluant 6 genres.
Liste de genres
Liens externes

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

...คุณเป็นโรคเกลียด วันจันทร์ หรือเปล่า?...





อะไรทำให้เป็นโรคเกลียดวันจันทร์



ตัวเราเอง...
1. อายุ คนมีอาการแบบนี้ส่วนใหญ่ มักเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานและขาดความมุ่งมั่นในชีวิต ติดนิสัย กิน ดื่ม เที่ยวมาตั้งแต่สมัยนักศึกษา และมักใช้เวลาช่วงวันหยุดสัปดาห์ทำกิจกรรมเหล่านั้น เมื่อถึงวันจันทร์ก็รู้สึกเหนื่อยล้า นอนตื่นสาย และไม่อยากไปทำงาน
2. บุคลิกภาพ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญค่ะ เพราะบางคนมีนิสัยเฉื่อยชา รักสบาย ไม่กระตือรือร้น ไม่ใส่ใจทำงาน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเบื่องานได้เช่นกัน
3. ภาวะจิตใจ ข้อนี้มักเกิดขึ้นกับคนทำงานวัย 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่กำลังสร้างฐานะและมุ่งมั่นในหน้าที่การงานเพื่อเลื่อนตำแหน่ง มักมีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำมากกว่าคนปกติหรือไปทำงานสาย กลับเร็ว
4. ปัญหาสุขภาพกาย บางครั้งก็ส่งผลเชื่อมโยงมาจากสุขภาพจิต เช่น เป็นโรคกระเพาะอาหารบ่อยๆ เครียดบ่อยๆ จนทำงานไม่ได้ บางคนเครียดจนนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี่กระเปร่า จนกลายเป็นข้ออ้างไม่ไปทำงานอยู่เรื่อยๆ
5. หน้าที่การงาน งานทุกตำแหน่งไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน งานบางงานอาจทำแล้วเกิดความรู้สึกน่าเบื่อหน่าย เครียด หรือทำแล้วอาจซ้ำซาก จำเจ ไม่ท้าทาย หลีกหนีความรับผิดชอบ จนก่อให้เกิดปัญหาตามมา สุดท้ายแล้วก็ต้องลาออก และเปลี่ยนงานใหม่ไปเรื่อยๆ
สิ่งแวดล้อม...
1. เพื่อนร่วมงาน เป็นเรื่องปกติในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งบางคนมีพฤติกรรมขี้เมาส์ ชอบประจบ เห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบในหน้าที่การงาน แต่กลับโยนภาระมาให้เราจนทำให้เราขาดสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานและขาดบรรยากาศในการทำงานที่ดี
2. หัวหน้างาน หนึ่งในปัญหายอดฮิตที่คุณไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้านายของคุณ บางคนมีนิสัยเสียชอบคนขี้ประจบ เป็นคนเจ้าอารมณ์ วันดีคืนดีก็เรียกลูกน้องเข้าไปต่อว่าโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้บรรยากาศไม่เอื้อต่อการทำงาน
3. การเดินทาง คนที่ทำงานโดยใช้เวลาเดินทางวันละ 2 ชั่วโมงขึ้น คนกลุ่มนี้มักจะรู้สึกเกิดความเบื่อหน่ายในการเดินทางไปทำงาน โดยมีสาเหตุมาจากปัญหารถติด อากาศร้อนอบอ้าว มลภาวะ เมื่อไปถึงที่ทำงานก็รู้สึกเหนื่อยล้า ทำงานแล้วก็ขาดประสิทธิภาพ

7วิธีรับมือโรคเกลียดวันจันทร์
เมื่อรับทราบถึงสาเหตุของโรคเกลียดวันจันทร์แล้ว เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำได้ง่ายมาให้คุณลองปฏิบัติกันค่ะ
1. อย่าเครียด เพราะการทำงานทั้งวันในแต่ละวันนั้น สร้างภาวะความเครียดให้คุณได้มากมาย เมื่อเริ่มเครียดหรือหรือเหนื่อยล้าขึ้นมา ให้หยุดทำงานนั้นสัก 10 นาที ออกไปเดินสูดอากาศนอกห้องให้สมองปลอดโปร่ง หรือแวะเติมความสดชื่นกับเครื่องดื่มแก้วโปรดสักแก้ว ค่อยกลับมาลุยงานต่อ หรือใช้ช่วงเวลาพักเที่ยงเลือกทำกิจกรรมที่เราชอบ เช่น อ่านหนังสือที่ถูกใจ หรือ ฟังเพลงสุดโปรด ก็ทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นได้ไม่ยาก
2. มีสติตลอดเวลา ในการเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่นั้น เชื่อแน่ว่าจะต้องมีงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาในความรับผิดชอบของคุณได้เสมอๆ ทางที่ดีควรตั้งสติและพร้อมเผชิญหน้ากับงานที่จะเข้ามาใหม่ รวมทั้งจัดสรรเวลาการทำงานให้เหมาะสมจะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง เพราะงานทุกงานที่ได้รับมอบหมาย คือสิ่งที่คุณต้องทำให้สำเร็จ
3. เคลียร์งานให้เสร็จสิ้น วันศุกร์แสนสุขของคนทำงานส่วนใหญ่ ทุกคนอยากรีบกลับบ้านไปนอนเล่นพักผ่อนให้เต็มที่ แต่เมื่อกลับมาทำงานวันจันทร์หลายคนจะพบงานเก่าที่คั่งค้างต่อเนื่องมาจากวันศุกร์ที่แล้ว แถมด้วยงานใหม่อีกกองพะเนิน ดังนั้นเราขอแนะนำให้คุณสละเวลาสักเล็กน้อยเคลียร์งานให้เสร็จสิ้นก่อนส่วนหนึ่งตั้งแต่วันศุกร์ พร้อมจัดทำรายการงานต่างๆ ที่ยังคั่งค้าง เพื่อที่จะมาสะสางและสานต่องานใหม่ได้อย่างต่อเนื่องและง่ายดายขึ้น
4. จัดลำดับงาน งานแต่ละชิ้นมีความสำคัญและความเร่งด่วนแตกต่างกัน การจัดลำดับความสำคัญของงานจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้เงื่อนไขเวลาเป็นตัวกำหนดว่างานไหนส่งก่อนส่งหลัง แล้วจัดการเขียนลำดับงานที่มีความสำคัญมากน้อยตามลำดับออกมาเป็นข้อๆ นอกจากจะช่วยเตือนให้คุณไม่หลงลืมทำงานต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว ยังสามารถลดความกังวลและความเครียดให้กับจิตใจด้วย ที่สำคัญการจัดลำดับงานเช่นนี้จะช่วยให้คุณเหลือเวลาและพลังงานสมองไว้ใช้ทำงานเพิ่มอีกด้วย
5. เข้างานเช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะในวันจันทร์ลองเข้างานเช้ากว่าปกติสักนิด เพื่อจัดสรรระเบียบให้กับการทำงานในวันจันทร์ และทำงานที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้นลง เพื่อให้การทำงานตลอดสัปดาห์ที่เหลือเป็นเรื่องง่ายขึ้น ใครที่เคยมาทำงานสายๆ ลองมาทำงานเช้าดูสักวัน แล้วคุณจะพบว่าในยามที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานมาทำงานนั้น เป็นเวลาที่คุณมีสมาธิมากทีเดียว
6. หยุดคิดเล็กคิดน้อย อย่านำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมาเป็นอารมณ์ เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คุณควรปล่อยให้ผ่านไป หลายคนมัวแต่ใส่ใจเรื่องดังกล่าว จนไม่มีเวลาพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น พยายามปรับความคิดใหม่ๆ เวลาทำงานในแต่ละวันก็มุ่งไปที่เป้าหมายของคุณ ทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ความคิดเหล่านี้จะช่วยให้กระตือรือร้นและสนุกกับงานมากขึ้น
7. เติมเต็มกำลังใจ ลองหาเพื่อนสนิทในที่ทำงานไว้ปรึกษาหารือ หรือแบ่งเบาทุกข์สุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยคุณต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นให้ได้ และลองหยิบยื่นน้ำใจให้กับคนอื่นก่อน โดยเรียนรู้ถึงพื้นฐานจิตใจของเพื่อน เพราะแต่ละคนมีความต้องการและความปรารถนาไม่เหมือนกัน นอกจากน้ำใจแล้ว น้ำคำ หรือคำพูดก็สำคัญ คำพูดง่ายๆ แต่จริงใจเช่น ขอบคุณ และ ขอโทษ ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนกระชับแน่นแฟ้นขึ้น
Charge Up เติมพลังให้สดชื่นก่อนไปทำงาน
เลิกปาร์ตี้ี้ (โดยเฉพาะคืนวันอาทิตย์) แล้วหันมาพักผ่อนให้เต็มที่ พร้อมหากิจกรรมดีๆ มาช่วยให้คุณผ่อนคลายในวันหยุดอย่างอ่านหนังสือ เล่นโยคะ เล่นกีฬาที่ตัวเองโปรดปราน ก่อนนอนก็สวดมนต์ทำสมาธิ เพื่อให้จิตสงบขึ้นและนอนหลับสบาย เตรียมพร้อมทั้งกายใจเพื่อต้อนรับการทำงานวันแรกของสัปดาห์อย่างสดชื่น
เข้านอนเร็วขึ้นและตื่นเช้าขึ้น จะช่วยให้ร่างกายคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แถมตื่นขึ้นก็สดชื่นจิตใจแจ่มใส ไม่งัวเงีย หรือไปนั่งหลับในที่ทำงาน
กินอาหารเช้ารองท้อง จะทำให้ท้องคุณสงบลงและมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น หากได้ดื่มน้ำผลไม้ด้วยยิ่งดี นอกจากมีประโยชน์แล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่นและไม่อ้วนอีกต่างหาก
ข้อมูลและภาพประกอบจาก

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Naga fireballs


The Naga fireballs (Thai: บั้งไฟพญานาค, bangfai payanak) are a phenomenon seen in the Mekong river - in Thailand (Nong Khai province and Isan) and in Laos - in which glowing balls rise from depths. The balls are reddish in colour and about the size of an egg; they rise a couple of hundred metres before disappearing. The number of fireballs is variable, being reported at between tens and thousands per night.
Timing
The fireballs have been seen for centuries and are most often reported around the night of Wan Awk Pansa - the end of the Buddhist rains retreat - in October, although displays have also been reported in March, April, May, June and September.
Causes and beliefs
The cause of the phenomenon is unclear: it has been proposed that the balls are produced by the fermentation of sediment in the river, which can combust in the particular river and atmospheric conditions of the nights in question.
A programme on Thai television in
2002 suggested that they were produced by tracer fire from soldiers on the Lao side of the river. This provoked furious protests from local villagers, who believe that the balls are produced by a serpent, the Naga or Phaya Naga, living in the river. Popular Thai language newspapers also supported the Naga theory.
The phenomenon has gained much prominence since the furore over the TV programme, as well as the
2002 film by director Jira Maligool, Mekhong Full Moon Party.
Previously known as the ghost fireballs, the event has now had its name changed and is being promoted as a
festival to attract tourists.


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

...ทำนายนิสัย....จากรสไอศครีม...










รสวนิลา
เป็นคนที่ร่าเริง ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มีความรักใคร่ในศักดิ์ศรีของตน เป็นที่รักของคนทั่วไป



รสกาแฟ
เป็นคนที่ชอบการทำงาน ที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีลักษณะเป็นผู้นำ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้สมบูรณ์กว่าผู้อื่น และเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน




รสสตรอเบอร์รี่
เป็นคนที่ชอบทำตัวสบายๆ คบคนง่าย แม้กับคนแปลกหน้า มักมองคนในแง่ดี เป็นคนที่มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือ และให้ความรักต่อผู้อื่น



รสช็อคโกแลต
เป็นคนที่ข้องข้างมีจิตใจอ่อนไหว ขี้เหงา ชอบคิดถึงแต่วันคืนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และเป็นคนที่ยึดในขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ ไว้เป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต





รสช็อคโกแลตชิป
เป็นคนที่ตั้งความหวังในชีวิตไว้สูง มักมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่สามารถแก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ



รสผสม
เป็นคนที่ชอบความหลากหลาย มีชีวิตยืดหยุ่น ชอบการประนีประนอม



ไม่ชอบกินไอติม
เป็นคนที่รักอิสระเสรี ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบดำเนินชีวิตอยู่บนความ เป็นเหตุเป็นผล

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Cow-boy







Le cow-boy (de l'anglais cow, vache et boy, garçon) est un garçon de ferme s'occupant du bétail bovin dans l'Ouest des États-Unis. Cette profession dérive de celle de vaquero, en vogue au Nouveau-Mexique aux XVIe siècle et XVIIe siècle, mais se distingue de ce simple travail d'ouvrier agricole. En effet, au XIXe siècle les élevages de l'Ouest alimentaient del'ensemble du pays, le cow-boy avait donc pour mission de conduire les bêtes à travers le sud s Grandes Plaines, en l'absence de chemins de fer. Cette transhumance, qui cessa aux alentours de 1890, a donné du cow-boy une image onirique d'homme libre, solitaire, et nomade, en certains points éloignés de la réalité. À la fin du XIXe siècle et tout au long du XXe siècle, de très nombreux romans et films prirent pour héros des cow-boys courageux, cavaliers émérites et tireurs d’élite prêt à dégainer face aux indiens pour sauver la veuve et l'orphelin. C'est ainsi que le cow-boy s'est transformé en un personnage mythique, incarnant les valeurs américaines, et rejoignant au cœur de l'identité du pays l’oncle Sam.
Les origines du métier de cow-boy
L'époque espagnole (XVIe siècle / 1821)
Au XVIe siècle, les conquistadors espagnols explorent les régions situées au nord de la Nouvelle-Espagne et les colonisent à partir du XVIIe siècle. Lors des expéditions d'exploration du sud-ouest américain appelé alors « Nouveau-Mexique », notamment lors de l’expédition de Francisco de Coronado en 1540[1], des bovins s'échappent et retournent à la vie sauvage. Des chevaux espagnols retournent aussi à la liberté : ce sont les mustangs. Lorsque les Espagnols s'installent au Nouveau-Mexique, au Texas puis en Californie, ils introduisent l'élevage d'animaux jusqu'ici inconnus des Amérindiens (moutons, bœufs, chevaux). Les missions franciscaines espagnoles pratiquent un élevage extensif, avec l'aide des Amérindiens.
Les grands propriétaires mettent les troupeaux de bovins sous la surveillance de vaqueros, des ouvriers agricoles montés sur des chevaux. Ils rassemblent les bêtes au cours du rodear et
portent un costume adapté à leur activité : un
sombrero pour les protéger du soleil, un bandana pour ne pas respirer la poussière, des jambières et des éperons pour monter à cheval et un lasso afin de capturer les animaux. .
Équipements et techniques
On connaît les équipements typiques du cow-boy, mais là encore celui-ci n’a rien inventé : les techniques utilisées montrent une filiation indiscutable avec les pratiques des ranchos mexicains, ce qui a été largement oublié par la légende, préférant faire du cow-boy un homme « pur américain ». Si les vaqueros n’étaient rien de plus que des sédentaires au service des animaux pour les nourrir et les soigner, ils ont donné au ranch américain des techniques et des outils qui ont été repris et adaptés pour la transhumance. Les vaqueros ont notamment mis en place le marquage des bêtes au fer rouge.
Ils devaient capturer le bétail sauvage, et ils ont inventé pour cela une corde à nœud coulant
portée au bout d’une perche, le « lazo », qui devient plus tard le
lasso que l’on connaît. Long de 9 à 18 mètres, il est fait de corde ou de cuir et son maniement requiert une bonne expérience : sur un cheval au galop, il faut en faire tourner la boucle pour la jeter sur le cou de l’animal, puis enrouler l’autre extrémité autour du pommeau de la selle.
Au niveau de l’équipement on trouve l’indispensable
chapeau large qui est un héritier direct du sombrero mexicain. Le Stetson est un des modèles les plus appréciés, son feutre indéformable et ses bords larges protégeant bien du soleil ou de la pluie. Il peut même faire office d’abreuvoir ou de cravache. Le foulard (bandana) pour se protéger de la poussière comme les éperons pour diriger le cheval sont également empruntés aux vaqueros. À cela se rajoutent les bottes et des jambières en gros cuir, les chaparreras là encore d’origine mexicaine. La panoplie se complète d’un pantalon solide, d’une couverture et d’un ciré, parfois d’un revolver prêté par l’employeur (très peu de cow-boys ont les moyens de se payer une arme personnelle).
Mais surtout, le principal outil du cow-boy, c’est son cheval. Un vieux dicton de l’Ouest ne dit-il pas qu'un homme à pied est tout sauf un homme ? C’est sur sa monture que l’on attrape les bêtes pour les marquer et qu’on les dirige dans la prairie. Il appartient quasiment toujours au patron car à près de 300 $ l’unité, un cow-boy ne peut se payer un tel luxe. Autre élément très important, la selle représente souvent la seule richesse du cow-boy qui a économisé des mois durant pour pouvoir la choisir avec soin : il passe le plus clair de son temps dessus.
Le cow-boy aujourd'hui
Le cow-boy « traditionnel » reste indissociable de l'imagerie de la conquête de l'Ouest : c’est sans doute pour cela que l’image que l’on peut en avoir est plus le produit d’un imaginaire collectif que le miroir de la réalité. En effet, au cow-boy aventureux, courageux, défenseur de la veuve et de l’orphelin, on peut opposer la vie routinière et néanmoins risquée d’un simple garçon vacher au service de grands propriétaires. Si l’aventure n’était pas inexistante, elle a largement été exagérée dans les multiples récits de la vie de ces personnages. Grâce à une médiatisation massive (développement du cinéma, des grands tirages, etc.) et surtout aux valeurs qu’il représente, il a pu devenir le symbole que l’on connaît aujourd’hui.
De nos jours encore, le cow-boy fascine, et de nombreux Américains continuent à s’identifier à ces personnages, avec même en premier lieu leurs dirigeants
(
George W Bush dans son ranch, ou Ronald Reagan et sa phrase du 12 août 1987 « J’ai toujours dit qu’il n’y avait rien de meilleur pour un homme que d’être assis sur un cheval. »). C’est dire à quel point le personnage a fondé l’identité américaine.
Bien sûr, il existe toujours un personnel pour garder les troupeaux dans les ranchs, qui conserve le cheval, les vêtements et certains accessoires issus du cow-boy originel. Cependant, les cow-boys actuels sont des employés sédentaires qui n'ont finalement que peu de choses en commun avec les hommes qui arpentaient la piste sur des milliers de kilomètres. L'on appelle également cowboys les participants des rodéos, qui sont parfois de véritables sportifs professionnels.